วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า เมื่อครั้งไป Yokohama_4

Episode 4 : ผจญภัยวันแรก..ใน Yokohama


รูปถ่าย Yokohama Landmark

กลับมานั่งเม้าท์ประจำที่แล้วจ้า.. หลังจากหายไปหลายวัน เพราะว่ามัวแต่ไปหลงอยู่แถวซีรีย์ญี่ปุ่น กว่าจะหาทางกลับออกมาได้ ก็ลำบากอยู่.. แต่ว่า ..ไว้จะกลับเข้าไปไหมอ่ะ อิอิอิ

ต่อจากคราวก่อน ในที่สุดเราก็ได้เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว จากนี้ไปแหละ 7 วัน มหัศจรรย์ของเรา ( เรียกซะเว่อร์เชียว... ) เรื่องเริ่มที่....
เราเจอกับคนญี่ปุ่นที่มารับ 3 คน ที่ Y-CAT หลังจากเล่นซ่อนหากันอยู่พักนึงอ่ะ คนญี่ปุ่นพอเจอเราปั๊บก็ท่าทางดีใจมากไม่แพ้เรา เจอหน้าปั๊ป... ก็ทักเราทันทีว่า



「お久しぶりですね、お元気ですか?」
ohisashiburi desune , ogenki desuka?

ซึ่งก็หมายถึงว่า “โอ้..ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ สบายดีหรือเปล่า” ( หัวหน้าที่ไปรับเราเป็นหัวหน้าที่เคยอยู่ที่ไทย
ส่วนอีกคนเป็นหัวหน้าปัจจุบันที่ไปอบรมเพิ่มที่ญี่ปุ่น ส่วนอีกคนก็เคยมาประชุมกับเราที่ไทย )

อ้อ..ลืมบอกไปว่าตอนที่เราไปถึง Y-CAT ก็ประมาณทุ่มนึงที่ญี่ปุ่นแล้วหละ ( เครื่องบินออกจากไทยประมาณ 10 โมงเช้า ใช้เวลาบิน 6 ชม. ถึงสนามบินนาริตะประมาณ 4 โมงเวลาไทย คิดเป็นเวลาญี่ปุ่น ก็บวกไป 2 ชม. เป็น 6 โมงเย็น นั่งรถบัสไป Y-CAT ประมาณ 1 ชม. )

หัวหน้าเราก็พาเอากระเป๋าไปฝากที่ Y-CAT นั่นแหละ เสียตังค์ด้วยอ่ะ แต่ไม่รู้เท่าไร เพราะไม่ได้จ่าย ... แล้วก็พาไปที่ Yokahama Landmark จะเป็นเหมือนว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Yokohama จะเป็นตึกสูงๆ ขึ้นไปชั้นบนสุด ด้วยลิพท์ที่เร็วโคตรๆๆ ( ช่างต่างกับลิฟท์ที่ทำงานเสียนี่กระไร ) แค่กระพริบตาก็ถึงแล้วอ่ะ ข้างบนก็จะมีของที่ระลึกขาย มีให้ดูวิวของเมือง Yokohama สวยมากๆ ( ให้ความรู้สึกคล้ายกับ ขึนไปบน Tokyo Tower นั่นแหละ ) หลังจากถ่ายรูปเสร็จสรรพ ก็พาไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ตึกนั้นแหละ มีร้านอาหาร ร้านขายของเยอะไปหมด เหมือนประมาณเป็นห้างบ้านเรานั่นแหละ .. วันนั้นก็กินซะเพียบ ซูซิ , ปลาดิบ จากปกติที่เราไม่กินปลาดิบ เพราะเคยกินครั้งนึงที่ไทย แต่ว่ามันไม่ไหว กลิ่นคาวมากๆ แต่พอไปถึงที่โน้น ก็ไหนๆ ลองกินดู ...โอ้โห..มันช่างต่างกันเสียนี่กระไร .. มันไม่คาว แล้วก็เนี้อมันก็หวานด้วยนะ ..สรุปว่า ..อร่อย  うまい!!umai!! ที่สำคัญ.. ฟรีหมดเลย +++

หลังจากอิ่มหน่ำสำราญแล้ว ก็กลับไปเอากระเป๋าที่ Y-CAT หัวหน้าเราก็ไปส่งที่โรงแรม Central plaza ( ไม่ใช่แถวเซ็นทรัล ลาดพร้าวนะจ๊ะ ) ลงรถไฟที่สถานี Tsurumi แล้วก็เดินไปอีกไม่ไกล ระหว่างทางก็มีร้านปาจิงโกะ ร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านขายของ แล้วก็ร้าน 100 เยน ( ทุกอย่างในร้านราคา 100 เยน ) ส่วนค่าที่พักก็ตกเป็นเงินไทยประมาณ คืนละ 1500 บาท ห้องพักก็เล็กนะ แต่มีห้องน้ำ กระติกน้ำร้อน ตู้เย็น ทีวีสี 14 นิ้ว มีไดร์เป่าผม มีเตียง หมอน วิทยุหัวเตียง ก็เรียกว่า ครบสำหรับดำรงชีวิตอยู่ได้อ่ะ ห้องที่เราพักก็เป็นห้องริมสุด มองผ่านหน้าต่างไป ก็จะเห็นถนนแล้วหละ หลังจากหัวหน้าเราช่วยดูความเรียบร้อยของห้อง แล้วก็ให้ขนมเรา กับใบชา เผื่อไว้กินตอนหิวได้ ( น่ารักจัง ..หัวหน้าเราเนียะ ) ก็กลับกัน ส่วนเราก็เก็บข้าวของส่วนตัว อาบน้ำ เปิดทีวี( พยายามจะดูให้รู้เรื่อง .. แต่ก็รู้เรื่องได้ประมาณ 50 % แค่นั้นแหละ เรียกว่า เปิดเพื่อให้มีเสียงเป็นเพื่อนอ่ะ)
แล้วเราก็เข้านอน เพราะพรุ่งนี้หัวหน้าจะมารับไปทำงานตอน 8 โมงครึ่ง เข้าทำงานตอน 9 โมง ก็กะว่าตื่น 7 โมง อาบน้ำ ลงไปกินอาหารของโรงแรม ( ราคาที่พัก รวมค่าอาหารเช้าแล้ว .. เป็นขนมปังกับกาแฟ ) ก็น่าจะทันเวลา ... ว่าแล้วก็นอนดีกว่า ... คืนแรก ขอเปิดไฟหรี่ๆ นอนแล้วกัน มันอุ่นใจดีอ่ะ.... お休みなさい!Oyasuminasai !

Read more!

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

Meichan no shitsuji (คนรับใช้ของเมอิจัง) ซีรีย์สนุกน่าดูอีกเรื่อง..

วันนี้มีซีรีย์สนุุกๆ มาแนะนำ... "Meichan no shitsuji" 「メイちゃんの執事」
執事 แปลว่า คนรับใช้ แปลชื่อเรื่องตามตัว ก็คือ "คนรับใช้ของเมอิจัง" นั่นเอง

เรื่องนี้ก็ทำมาจากการ์ตูน ตอนนี้กำลังฉายอยู่ที่ช่อง Fuji ทุกวันอังคาร 3 ทุ่ม
ที่อยากจะแนะนำ เพราะว่าดูแล้ว เหมือนได้ดูการ์ตูน บรรยากาศคล้ายกับเรื่อง Hana kimi และที่สำคัญก็คือ พระเอกน่ารักอ่ะ
พล็อตเรื่องมีอยู่ว่่า ...

Mei-chan นักเรียนมัธยมอยู่กับครอบครัวอย่างอบอุ่น แม้ว่าจะไม่รวย แต่ทุกวันก็มีความสุข จนกระทั่ง พ่อแม่ของ Mei-chan เกิดเสียชีวิตในอุบัติเหตุ ทำให้ Mei-chan เหลือตัวคนเดียว แต่..อยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งมาหา และแนะนำตัวว่า เป็น คนรับใช้ของ Mei-chan ซึ่งก็คือ Shibata Rihito คนรับใช้ระดับ S ที่ถูกปู่ของ Mei-chan ส่งมาให้มารับ เพราะความจริงแล้วพ่อของ Mei-chan เป็นลูกชายมหาเศรษฐี แต่กลับทิ้งทุกอย่าง เพื่อมาอยู่กินกับคนธรรมดา เปิดร้านขายอุด้งเล็ก มีครอบครัวอย่างคนธรรมดา แทนที่จะรับช่วงต่อกิจการที่ตระกูล ทำให้ถูกตัดออกจากกองมรดก.. แล้วนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Mei-chan เมื่อ Mei-chan ต้องย้ายมาเข้าโรงเรียนคุณหนู ซึ่งมีแต่เพื่อนแปลกๆ และโรงเรียนนี้ คุณหนูทุกคนจะต้องมีคนรับใช้ส่วนตัว อยู่ด้วยตลอดเวลา (ต้องเป็นคนรับใช้ผู้ชายด้วยนะ ) Mei-chan ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย โดยตลอดเวลาจะมี Shibata Rihito อยู่เคียงข้างเสมอ แล้วจะเป็นยังไง เมื่อ คุณหนูอย่าง Mei-chan ต้องมาใกล้ชิดกับคนรับใช้หนุ่ม ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ และยังเป็นคนรับใช้ ที่คูณหนูต่างๆ ต้องการ แต่ Rihito ไม่เคยยอมรับใช้คนอื่น นอกจาก Mei-chan

ตามให้กำลังใจ.. ความสัมพันธ์ระหว่าง Mei-chan คุณหนูแก่นแก้ว กับ Rihito คนรับใช้หนุ่มแสนเพอร์เพค ว่าจะลงเอยยังไง...
「そんな執事がほしいね!!」

Read more!

"ต้อง" ในภาษาญี่ปุ่น ใช้ยังไงน๊า...

เคยสงสัยไหมว่า ถ้าจะพูดว่า "ต้อง" ในภาษาญี่ปุ่นจะใช้ยังไงดีน๊า..
เราเคยจะแต่งประโยคว่า "ต้องกลับภายใน 9 โมง" แต่ว่าคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องใช้สำนวนไหนดีอ่ะ...
เราคิดได้แค่  「9時までに帰ります。」 kuji madeni kaerimasu.
แปลตามตัว แปลว่า "จะกลับภายใน 9 โมง"

และแล้ว..เราก็ไปอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับสำนวนตัวนี้จนได้ ... ซึ่งก็คือ
Vなければなりません  
V nakerebanarimasen
ถ้างั้นเราก็ต้องพูดว่า
「9時までに帰らなければなりません。」
kuji madeni kaeranakerebanarimasen
แต่ว่า เวลาคนญี่ปุ่นพูด ไม่ค่อยจะได้ยินคำนี้เท่าไร เพราะว่า สำนวนนี้ยาวมาก
แค่คำว่า "ต้อง" เนียะนะ ... ยาวจัง
ดังนั้น ภาษาพูด คนญี่ปุ่นจะพูดสั้นๆ แค่ว่า..
Vなければなりません  --> Vなきゃ 
V nakerebanarimasen  --> Vnakya

สำนวนในภาษาญี่ปุ่น จะมีเยอะมาก ซึ่งคนญี่ปุ่นเองก็จะมีรูปย่อ เพื่อให้เป็นภาษาพูดอยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งถ้าไม่ชินกับภาษาพูดพวกนี้ ก็คงยากที่จะฟังคนญี่ปุ่น หรือ ซีรีย์ ให้เข้าใจ .. เพราะฉะนั้น เราคงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้พวกสำนวน รวมทั้งรูปย่อของมันด้วย
สำนวนและรูปย่อยังมีอีกเยอะ ไว้จะทยอยมาเล่าให้ฟังอีกนะ

Read more!

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

Akai Ito ( ด้ายแดง ) ซีรีย์ญี่ปุ่นรักโรแมนติก..

วันนี้มีซีรีย์ดีมาแนะนำ ... "Akai Ito" แปลตามตัว ก็ "ด้ายแดง" ซีรีย์เรื่องนี้ สร้างมาจากนิยายมือถือที่ดังมากๆ ตอนนี้กำลังฉายอยู่ที่ญี่ปุ่น ช่อง Fuji ทุกวันเสาร์
เรื่องนี้ มีพล็อตเรื่องน่าติดตามดี นักแสดงก็น่ารักได้ใจจริงๆ พระเอกของเราก็ Mizobata Junpei ส่วนนางเอกก็ Minamisawa Nao น่ารักทั้งคู่

"ด้ายแดง" มาจากความเชื่อของจีน ที่เชื่อว่า คนที่เป็นเนื้อคู่กัน จะมีด้ายแดงที่มองไม่เห็นผูกติดกันอยู่ ไม่ว่าจะห่างกันยังไง สุดท้ายก็ต้องได้พบกันอยู่ดี

ในเรื่องนี้ จะพูดถึง Atsushi เด็กหนุ่มมัธยมต้นที่มีแม่ติดยาเสพติด เลยต้องไปอยู่ในความดูแลของเพื่อนแม่ ซึ่งเป็นนักบวชอยู่ที่ศาลเจ้า ส่วน Mei เด็กสาวรุ่นเดียวกัน แอบรักเพื่อนวัยเด็กมาตลอด แต่ว่าเขากลับรักพี่สาวของ Mei

Atsushi กับ Mei เคยเจอกันมาก่อน แต่ทั้งคู่จำกันไม่ได้ โดยทั้งคู่ได้เจอกันในวันครบรอบวันเกิด 29 กุมภา ของทั้งคู่ และวันนั้น Atsushi ก็ตกหลุมรักแรกพบกับ Mei
เมื่อโชคชะตา ทำให้เขาทั้งคู่ได้มาพบกัน ใกล้ชิดกัน จนเกิดเป็นความรัก แต่ยังมีอุปสรรคอีกมากที่ทั้งคู่ต้องเจอ... มาตามเอาใจช่วยทั้งคู่กันดีกว่านะจ๊ะ

「運命って信じる?」 ummei tte shijiru? เชื่อในพรหมลิขิตไหม?


Read more!

ใช้สำนวนให้ถูกที่ถูกเวลา..

มีใครรู้สึกเหมือนเราไหม...ว่า คนญี่ปุ่นเนียะ ชอบมีสำนวนอะไรไว้สำหรับพูดเยอะแยะไปหมด จำไม่หวาดไม่ไหวอ่ะ เช่น いってまいります、いっていらっしゃい、ただいま、おかえりなさい、いただきます、ごちそうさま、おつかれさまでした แล้วก็อีกหลายๆ สำนวน
ตอนแรกเราก็จำไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่รู้จะจำยังไงดี แต่พอทำไปทำมาก็เริ่มจะจับทางได้บ้าง
  • いってまいります ( ittemairimasu ) แปลว่า ไปแล้วจะกลับมา สำนวนนี้จะใช้บอกกับคนในบ้านว่า เราจะออกไปข้างนอกแล้วนะ
  • いっていらっしゃい ( itteirasshai ) แปลว่า ให้ไปแล้วกลับมานะ สำนวนนี้ใช้ตอบรับสำนวน いってまいります
  • ただいま ( tadaima ) แปลว่า เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ สำนวนนี้จะใช้เมื่อกลับถึงบ้าน
  • おかえりなさい ( okaerinasai ) แปลว่า ต้อนรับกลับบ้าน สำนวนนี้ใช้ตอบรับสำนวน ただいま
  • いただきます ( itadakimasu ) แปลว่า ได้รับ สำนวนนี้จะใช้เมื่อก่อนทานอาหาร โดยคนญี่ปุ่นมีแนวคิดว่า เป็นการกล่าวเพื่อเป็นการขอบคุณที่มีอาหารรับประทาน
  • ごちそうさま ( gochisousama ) สำนวนนี้จะใช้เมื่อทานอาหารอิ่มแล้ว
  • おつかれさまでした ( otsukaresamadeshita ) สำนวนนี้จะใช้เมื่อพูดกับคนที่ทำงานเสร็จ ยกตัวอย่างเช่น พนักงานบริษัทก่อนกลับบ้าน มักจะพูดสำนวนนี้ ซึ่ง ถ้าแปลตามตัว คำว่า つかれる แปลว่า เหนื่อย เหมือนเป็นการขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยในการทำงาน
  • どういたしまして ( douitashimashite ) แปลว่า ไม่เป็นไร
  • じゃまた ( jyamata ) สำนวนนี้ ใช้ตอนจะแยกจากกัน แปลว่า แล้วไว้เจอกันอีก
  • お久しぶり ( ohisashiburi ) แปลว่า ไม่เจอกันนาน
  • お元気で ( ogenkide ) สำนวนนี้ใช้ในความหมายว่า ขอให้แข็งแรง รักษาสุขภาพนะ
  • おねがいします ( onegaishimasu ) สำนวนนี้ใช้ในความหมายในการขอร้อง
  • 気をつけて ( ki o tsukete ) สำนวนนี้ใช้ในความหมาย ให้ระวังตัวด้วย
  • がんばってください ( gambattekudasai ) แปลว่า พยายามเข้านะ

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสำนวนที่คนญี่ปุ่นจะใช้กันในชีวิตประจำวัน ยังไงก็คงต้องค่อยๆ เรียน ค่อยๆ จำไปเรื่อย.. ยังมีอะไรสนุกๆ อีกเยอะนะ (^ ^ )

สำหรับเราแล้ว เราก็ไม่ได้ท่องจำซะทีเดียว แต่ว่าจะใช้สังเกตรากศัพท์ เพราะส่วนใหญ่มันจะมีความหมายแฝงอยู่ บางคำก็เป็นคำยกย่อง คำถ่อมตัว แล้วอีกอย่าง ก็คือ ดูซีรีย์ญี่ปุ่น เพราะเราจะได้ยินบ่อยๆ ในซีรีย์ ทำให้ซึมซับเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว

ยังไงก็ลองมาเรียนภาษาญี่ปุ่นกันเถอะ.... がんばってね!


Read more!

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

มา..มาะ ..มาเรียนภาษาญี่ปุ่นกันเถอะ

ใครเคยดูซีรีย์ญี่ปุ่นแล้ว อยากที่จะฟัง soundtrack รู้เรื่องบ้าง ..
ใครเคยรู้สึกอยากอ่านการ์ตูนที่เป็นต้นฉบับรู้เรื่องบ้าง...
ใครเคยรู้สึกว่า อยากคุยกับคนญี่ปุ่น (เช่น หัวหน้าในที่ทำงาน) รู้เรื่องบ้าง...

เราเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกอย่างนั้น .. ตอนแรก เราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะเราอยากฟังซีรีย์รู้เรื่อง เริ่มจากพี่สาวซึ่งเป็นล่ามญี่ปุ่นอยู่ สอนเราท่องตัวฮิรางานะ คาตากะนะ แล้วก็สอนประโยคหากินง่ายๆ เช่น
    はじめまして、私のなまえはAです。
    どうぞよろしくおねがいします。

ความหมายก็คือ เป็นการแนะนำตัวเอง ว่าชื่ออะไร แล้วก็ฝากเนื้อฝากตัวกับคนที่เราเพิ่งพบเป็นครั้งแรก
แต่ว่า อย่างที่เขาว่ากันว่า ถ้าคนในครอบครัวเดียวกัน มักจะสอนอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวไม่ค่อยได้ เพราะว่า เรากับพี่สาวก็เป็นอย่างนั้นแหละ บางวันเราก็ขี้เกียจ บางวันพี่สาวก็ขี้เกียจ สรุปเรียนๆ เลิกๆ ไปหลายรอบ ไม่ได้เอาจริงเอาจังซะที...
จนพี่สาวเราแต่งงานแยกบ้านออกไป ทีนี้สิ อยากเรียนขึ้นมาอีก แต่พี่สาวอยู่ไกลซะหละ .. เนียะแหละน่า.. ตอนเรียนสบายๆ ไม่ชอบ ชอบแบบลำบาก เราก็มาเริ่มเรียนจริงจัง..ทีนี้เรียนเองแล้วสิ ซื้อหนังสือมาอ่าน อ้อ..คราวนี้เรียนเพราะว่า อยากคุยกับหัวหน้าคนญี่ปุ่นที่ทำงานรู้เรื่อง ก็เลยเอาจริง..

ยอบรับว่า .. บางครั้งก็ท้อนะ แต่ก็พยายามมาเรื่อยๆ จนพี่สาวมาชวนให้ไปสอบวัดระดับ เราก็อืม.ก็ดีนะ อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะสอบผ่านไหม ... ซื้อหนังสือสอบวัดระดับ 4 มาอ่าน แต่พอถึงเวลาสมัครสอบ ดันสมัครไม่ทัน ก็เลยชวด .. รอปีต่อไปแล้วกัน .. พอที่นี้พี่สาวก็บอกให้เตรียมระดับ 3 ไปเลย เพราะเราลองทำข้อสอบระดับ 4 แล้ว เราก็ทำได้นะ เอ้า..ก็..เอ้า.. ถ้าผ่านก็ผ่าน ไม่ผ่านก็สอบใหม่ก็ได้นี่น่า ไม่เห็นต้องซีเรียส เมื่อคิดได้อย่างนั้น ก็ไปซื้อหนังสือเตรียมสองระดับ 3 มาอ่าน คราวนี้ สมัครทัน ได้สอบสมใจ

และแล้วเราก็พิสูจน์ตัวเองได้...เย้... やった เราสอบผ่านระดับ 3 เมื่อปี 2007 ดีใจมาก แต่ว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้สอบระดับ 2 ต่อหรอกนะ เพราะว่ามันไม่ไหวอ่ะ ยากจัง ไว้ตั้งหลักอีกซักปีนะ ...

ใครที่เคยกลัวตัวคันจิ ...

ขอบอกเลยว่า .. เราก็เป็นเหมือนกัน ตอนแรก ตั้งใจว่าจะไม่เรียนคันจิด้วยซ้ำ จะเอาแค่พูดได้กับอ่านฮิรางานะ คาตากะนะได้ก็พอ แต่ว่าสุดท้ายเราก็รู้ว่า ถ้าไม่รู้คันจิ เราก็อ่านหนังสือ หรือ ข้อความอะไรไม่ได้เลย เพราะภาษาญี่ปุ่นจะใช้คันจิร่วมด้วยตลอด.. แต่ตอนนี้เราชอบตัวคันจิแล้วหละ เพราะว่าภาษาญี่ปุ่น มีคำพ้องเสียงเยอะมาก เราจะแปลได้ง่ายขึ้น ถ้าเห็นเป็นตัวคันจิ

ใครที่มีใจรัก มา..มาะ..มาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นกันเถอะ.. เวลาที่เราเรียนจนเราเริ่มฟังรู้เรื่องแล้วเราจะรู้สึกภูมิใจกับความตั้งใจที่เราทำมานะ ... แล้วเราก็จะดูซีรีย์ได้สนุกขึ้นนะ..
พูดไปพูดมา..สุดท้ายก็มาลงที่ดูซีรีย์นี่แหละ (^_^)

"ท้อได้ แต่อย่าถอย" นะจ๊ะ

Read more!

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า เมื่อครั้งไป Yokohama_3

Episode 3 : ก้าวแรกบนแผ่นดิน Japan

หลังจากนอนมาบนเครื่องเป็นเวลากว่า 6 ชม. ในที่สุด เราก็ได้ลงไปเดินเล่นแถวสนามบินนาริตะซักกะที นับตั้งแต่ก้าวออกจากเครื่องบิน ก็ตื่นตาตื่นใจกับสาวๆ ญี่ปุ่น เพราะขนาดเป็นเด็กขนของในสนามบินนะเนียะ ...ว้าว.. น่ารักสุดๆ ผิวขาว หน้าตาน่ารัก แต่ว่าท่าทางทำงานได้แข็งขันเต็มที่ไม่แพ้กับหนุ่มๆ เลยอ่ะ

ก่อนที่จะมาญี่ปุ่น เราโดนขู่มาเยอะเลย ว่าส่วนใหญ่ถ้าเป็น passpost ใหม่ จะผ่าน ตม. ยาก จะถูกถามเยอะ เราก็เตรียมมาอย่างดี .. ไม่ใช่..เตรียมตัวตอบอะไรหรอก แต่ว่าที่เตรียมอ่ะ เตรียมจดหมายเชิญที่ทางญี่ปุ่นส่งมาให้ต่างหาก เผื่อว่าคุยไม่รู้เรื่องก็จะได้ยี่นจดหมายให้ดูซะ เพราะว่าในจดหมายเชิญจะมีรายละเอียดว่า เรามาทำอะไร กี่วัน พักที่ไหน แต่ตอนต่อแถวนี่สิ ตื่นเต้นน่าดูอ่ะ...............
そろそろ時間だ。และแล้วก็ถึงตาเรา ..พอยืนอยู่หน้าเจ้าหน้าที่ เค้าก็ถามเป็นภาษาญี่ปุ่น .. ( ก็ไม่เข้าใจ passpost ก็โชว์อยู่ว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น ดันพูดญี่ปุ่นใส่อีก ) ถึงเราจะเรียนมาบ้าง แต่พอเจอเข้าจริง..อึ้ง..ฟังไม่ทัน..ตอบไม่ถูก .. เขาคงเพิ่งนึกได้ว่าควรพูดภาษาอังกฤษ ก็เลยถามใหม่ ว่ามากี่คน เราก็ตอบว่ามาสองคน แล้วก็ชี้ที่พี่ที่ไปด้วยกัน เจ้าหน้าที่ก็ถามต่อว่าเป็นไรกัน เราก็ตอบมาเพื่อน จบ... ไม่น่าเชื่อ ผ่านเฉยเลย.. ขนาดพี่ที่ไปด้วยกัน เคยเข้าญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้ว แต่ดันโดนถามเยอะ จนต้องควักจดหมายเชิญมาให้ดูถึงผ่านมาได้... โชคดีจริงๆ เรา....
ยัง..ยัง..ไม่จบ ต้องไปผ่านด่านศุลกากรอีก เหมือนเดิม เจ้าหน้าที่พูดญี่ปุ่นใส่อีกหละ แต่คราวนี้เราเริ่มตั้งสติได้ จำใจความได้ว่า ของในถุงเป็นอะไร ( เราซื้อกล้วยอบเนยไปฝากคนญี่ปุ่น ) เราก็ตอบว่า おかしです。ขนม แค่นั้น เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยเราไป... อิอิ..ช่างถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ หันไปหาพี่ที่ไปด้วยกัน ...อีกแล้ว กำลังควักจดหมายเชิญอีกแล้ว...เฮ้อ.....

เอาละซิ..หลุดมาจากด่านทั้งหลายทั้งแหล กระเป๋าก็ได้มาเรียบร้อย ... แล้วทำไงต่ออ่ะ.. ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปซะกะนิด ก่อนที่จะถึงวันเดินทาง หัวหน้าที่ญี่ปุ่นก็ส่งเมล์มาหาว่าจะมารับที่นาริตะ แต่ว่าเราไปกัน 2 คน แล้วก็พี่ที่ไปด้วย เคยไปมาหลายครั้งแล้ว ด้วยความเกรงใจ เพราะว่าค่ารถบัสจากนาริตะไป Y-CAT ตั้ง 3,500 Yen (ประมาณ 1,000 กว่าบาท) เราก็เลยตกลงกันว่า เราจะนั่งรถบัสจากนาริตะไปเจอคนญี่ปุ่นที่ Y-CAT (สถานี Yokohama) เลย ตามที่ได้รับการบอกเล่ามา ก็ต้องทำตามขั้นตอน คือ

  • ต้องหาเคาท์เตอร์ขายตั๋วรถให้เจอก่อน

  • บอกพนักงานขายตั๋วว่าจะไป Y-CAT

  • ดูตั๋วว่าต้องไปรอรถบัสที่ป้ายไหน จะมีตัวเลขบอกอยู่ ( จริงๆ อยากเอาตั๋วให้ดูนะ แต่ว่า ลืม scan ไว้ เพราะว่าตัวจริงต้องเอาไปเบิกตังค์กับบริษัทอ่ะ )

  • เดินไปหาป้ายที่ต้องรอรถ เอาตั๋วให้พนักงานดูก่อน แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ให้เก็บใต้รถ จากนั้นก็รอรถ
  • นั่น..ไง... รอไม่นาน ..ตรงเวลาแป๊ะๆๆ ก็ขึ้นรถเรียบร้อยเรา

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่หลับบนรถ เพราะไหนๆ มาตั้งไกล นั่งดูวิวดีกว่า.... แต่แล้ว..ด้วยความง่วง และนิสัยส่วนตัว ที่นั่งรถนิ่งๆ ไม่ได้นาน... และแล้ว เราก็ไปชมวิวในฝัน.. โธ่..

หลังจากนั่ง..หลับมาในรถประมาณชั่วโมง รถก็มาจอดหน้า Y-CAT เราก็รับกระเป๋า แล้วก็เข้าไปรอใน Y-CAT

ไอ้ตอนแรกเราก็คิดว่า Y-CAT คงไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย ไม่น่าจะหากันยากนะ แต่พอเอาเข้าจริง โคตรใหญ่.. เป็นสถานีต่อรถบัส รถไฟ แล้วยังเป็นประมาณห้างอีก เอาละสิ คราวนี้จะเจอกันไหมเนียะ .. จะโทรหาก็ไม่เจอตู้โทรศัพท์เลย ... ยืน..งงงงงงงง.... อยู่ซักพัก และแล้ว สายตาก็หันไปเจอ ..พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก.... ดีใจมาก...เจอแล้ว..คนญี่ปุ่นที่มารับเรา..เฮ้อ..รอดตายแล้วเรา... : )

ต่อจากตอนนี้..ก็จะเป็นเรื่องการผจญภัยสู่โลกกว้างของเราแล้วนะ ..อิอิอิ สนุกอย่าบอกใครเชียว... つづく


Read more!

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า เมื่อครั้งไป Yokohama_2

Episode 2 : เตรียมใจ..ออกตัว..บินลัดฟ้าสู่ Japan

กลับมาแฟ้ว... คราวก่อนทิ้งท้ายไว้ถึงตอน pack กระเป๋าหละ มาคราวนี้ก็ เตรียมใจ พกเป๋า ออกตัวล้อฟรี เหิรฟ้า..สู่ Yokohama กัน

คืนก่อนวันเดินทาง เราก็เตรียมเข้านอนแต่หัววัน เพราะว่ากลัวจะตื่นไม่ทัน (อย่าหาว่าเว่อร์เลยนะ คนมันไม่เคยบินไปต่างประเทศอ่ะ ) ทั้งๆ ที่ เครื่องออกตั้ง 10 โมง นัดพี่ที่ไปด้วยกันที่สุวรรณภูมิตอน 8 โมง .. พอเช้าก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เตรียมกระเป๋า กับของจำเป็นทั้งหลายทั้งแหล่ แล้วก็ลุย!!

พอไปถึงสุวรรณภูมิตามเวลานัด โอ้..แม่เจ้า ทำไมคนเดินทางไปมันเยอะอย่างนี้ ต้องไปต่อแถวยาวม๊ากๆๆ กว่าจะ check in เสร็จ ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วก็ต้องรีบแล้ว เด๊ว..ไม่ทัน รีบตรงไปแลกตังค์ก่อน เด๊วไม่มีเงินใช้ ตอนไปตอนนั้น ปี 2007 ช่วงเดือนกรกฏา อัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ 100 Yen = 28 บาท จากนั้นก็ต้องแยกกับสุดที่รัก (ที่ไปส่งเรา) เพราะว่าต้องเข้าไปข้างในแล้ว ... (ไว้อีก 1 อาทิตย์ ค่อยเจอกันนะจ๊ะ..จุ๊บ..จุ๊บ) นึกว่าจะผ่านฉลุย ที่ไหนได้ ต้องไปต่อคิว..ยาวเหยียดอีกรอบ ตรวจ passpost ผ่านด่าน ตม. แล้วก็ตรวจสัมภาระอีก ข้ามพกของเหลวที่เกิน 100 ml ขึ้นเครื่อง ถ้าตรวจเจอก็ต้องทิ้งไว้ตรงนั้นเลย บางคนไม่รู้ น้ำหอม ครีมบำรุง ทิ้งหมด เสียดายจัง.. ส่วนเราพอรู้มาก่อน ก็เลยพกครีมที่มันไม่เกิน 100 ml ก็รอดไป ...แต่ ช้าก่อน.. ไม่ได้รอดไปง่ายๆ อย่างนั้น .. ต้องแสดงให้พนักงานดู แล้วก็แยกใส่ถุงพลาสติกใสไว้ด้วยนะ ไม่งั้นก็เอาขึ้นเครื่องไม่ได้ สรุปว่าเราก็ไม่ได้เดินโอ้เอ้ชมสนามบิน..อย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรกเลย เพราะว่าได้ยินเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องแล้วอ่ะ แง..แง.. ต้องรีบไปแล้วอ่ะ ขึ้นเครื่องรองสุดท้ายอ่ะ ..เฮ้อ..ได้ขึ้นเครื่องซะที

พอจัดสมบัติเสร็จเรียบร้อย คาดเข็มขัดเรียบร้อย ก็เตรียมตัวหูอื้อ.. เพราะเครื่องจะขึ้น ...เย้..เย้.. ในที่สุดเราก็ได้บินแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานก็เอาของกินมาเสริฟ์ มีให้เลือกระหว่างอาหารญี่ปุ่น กับอาหารไทย ... ทายสิ..เราจะกินอะไร.....
..... เฉลย ... อาหารไทย..กินบ่อย เลือกอาหารญี่ปุ่นดีกว่า... อิอิอิ อาหารการบินไทยนี่ อร่อยใช่ย่อย .. อืม..ขอหูฟังพนักงานมาฟังเพลงดีกว่า เพราะว่าเราต้องอยู่บนเครื่อง 6 ชม. แนะ พอได้หูฟังแล้ว เราก็เลือกช่องเพลง แล้วหลังจากนั้นก็หลับไปตลอดทาง... มีตื่นบ้างเล็กน้อย .. แต่ก็หลับต่อไป.. หลับต่อไป...

และแล้วก็ได้เวลาเริงร่าแล้ว.. เครื่องกำลังจะลงที่นาริตะซะที อากาศที่นาริตะ ก็แจ่มใสดี ค่อนข้างร้อน เพราะช่วงนั้นเป็นฤดูร้อนของญี่ปุ่น แต่ยังไงก็คงไม่ร้อนเท่าที่ไทยหรอก..

ในที่สุด..ก็ได้เหยียบย่างลงสู่แผ่นดินญี่ปุ่นที่ใฝ่ฝัน... ต่อจากนี้ ยังมีเรื่องสนุกๆ รออีกเยอะ ..ไว้เจอกันตอนต่อไป つづく

Read more!

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

Oh! My girl ซีรีย์ญี่ปุ่นน่ารัก..น่ารัก

ช่วงนี้อากาศหนาวเหลือใจ ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยมีปีไหนที่กรุงเทพจะหนาวขนาดนี้นะเนียะ ตื่นมาตอนเช้าแทบช็อค เพราะทำใจไม่ได้ ทีต้องพลัดพรากจากที่นอนแสนอุ่นไป..

วันนี้อยากแนะนำซีรีย์ญี่ปุ่นน่ารัก..น่ารัก ( พระเอกน่ารัก อิอิ ) จริงๆ แล้วซีรีย์ญี่ปุ่นที่อยากจะแนะนำมีเยอะมากๆ แต่ไม่ค่อยมีเวลา เอาเป็นว่าจะพยายามเข้ามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ หละกัน

พูดซะยาว..เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ เรื่องของเรื่องก็คือ "Oh! My Girl" เพิ่งจะลาจอที่ญี่ปุ่นไปได้ไม่นาน ที่ยากจะแนะนำเรื่องนี้ เพราะว่า ...
  • เนื้อเรื่องน่ารัก ดูแล้วมีฉากซึ้งๆ ทุกตอน ( ก็เป็นปกติของซีรีย์ญี่ปุ่นอยู่แล้วอ่ะนะ )

  • เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่
  • พระเอก ( Hayami Mokomichi แห่ง Tokyo Tower ที่ช่อง TBS ฉายจบไปแล้ว ) น่ารัก , เด็กผู้หญิงที่เล่นเป็นหลานพระเอกก็น่ารักมาก ดาราทุกคนแสดงได้ดี ประทับใจ

เรื่องมีอยู่ว่า โคทาโร่ เป็นนักเขียนนิยายทางมือถือ แล้วก็ทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง สภาพก็ไม่รวยอยู่อพาร์ทเม้นท์โทรมเล็กน้อยถึงปานกลาง อยู่มาวันนึง ชีวิตของหนุ่มโสดของโคทาโร่ก็เปลี่ยนไป เมื่อพี่สาวที่โคทาโร่ไม่นับญาติด้วย แต่เป็นถึงดาราสาวชื่อดัง ดันส่งลูกสาวที่เป็นดาราเด็กชื่อดัง นามว่า อันจัง มาให้ดูแล แถมพ่วงด้วยนางเอกที่เป็นผู้จ้ดการส่วนตัวของแม่ลูกคู่นี้มาให้คอยป่วนชีวิตโสดของโคทาโร่ .. จากหนู่มโสดที่ไม่เคยเลี้ยงเด็ก กับเด็กผู้หญิงที่เคยอยู่สบายและมีแค่คนตามใจตลอด ต้องมาอยู่ด้วยกัน เรื่องราวน่ารัก น่ารัก ระหว่าง อากับหลานก็เกิดขึ้น .. จากที่ไม่ค่อยชอบหน้า...ค่อยๆพัฒนาเปลี่ยนเป็น ความผูกพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาดได้ .. ระหว่างอาและหลานสาวตัวน้อย

ใครได้ดูเรื่องนี้แล้ว..น่าจะติดใจในความน่ารักของ อันจัง & โคทาโร่ เหมือนเรา มาเม้นท์กันได้นะจ๊ะ

ไว้จะทยอยเอาซีรีย์ใน stock มาเม้าท์ใหม่นะจ๊ะ


Read more!

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

Happy New Year ของญี่ปุ่น

เมื่อวันก่อนปิดปีใหม่ เราส่งเมล์หาคนญี่ปุ่นที่อยู่ Yokohama เป็นเมล์ Happy New Year นี่แหละ ในเมล์ เราก็เขียนตามที่เคยอ่านเจอในหนังสือ
あけましておめでとうございます。
akemashite omedetou gozaimasu
Happy New Year นั่นแหละ
ซักพัก ก็มีโทรศัพท์จาก Yokohama แล้วคนญี่ปุ่นก็พูดกับเราว่า
"どうぞよいお年を”
dozo yoi otoshi wo
เราก็เอ๋อ..รับประทานครับ.. แปลว่าไรหว่า ไม่เคยเจออ่ะ ก็เลยบอกไปว่า すみません、よくわからない。ก็คือ ขอโทษค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยเข้าใจ จากนั้น แกก็พยายามอธิบายด้วยภาษาญี่ปุ่นปนอังกฤษ จนเราถึงบางอ้อ.. ว่าเป็นสำนวนที่ใช้พูดในวันปีใหม่ เหมือนเป็นคำอวยพรปีใหม่นั่นแหละ .. พอเย็นวันนั้น กลับบ้านก็ เปิดหนังสือที่มีในบ้าน ( ขอบอก ที่บ้านหนังสือเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นเยอะมาก แต่ว่าอ่านไม่ค่อยจบซะเล่ม อิอิ แต่ชอบซื้อจัง ) ก็มาเจอในหนังสือ "ภาษาญี่ปุ่นสนก 1" ของ ศ.ดร.ปรียา อังคาภิรมย์ ว่าประโยคนี้ ย่อมาจาก
"どうぞよいお年をむかえください”
dozo yoi otoshi wo mukaekudasai
ซึ่งสำนวนนี้ จะใช้อวยพรเวลาที่จะแยกจากกันก่อนวันขึ้นปีใหม่
แต่ถ้าเจอกันวันปีใหม่หล่ะ ใช้สำนวนนี้หรือเปล่า .... สงสัยใช่ไหมหล่ะ
คำตอบคือ จะใช้อีกสำนวนจ้า... คือ
"あけましておめでとうございます”
สุดท้ายของวันนี้ .... ขอให้ทุกคนมีความสุขวันปีใหม่นะจ๊ะ ....

Read more!

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า เมื่อครั้งไป Yokohama_1

Episode 1 : เตรียม Pack กระเป๋าไป Japan

เราเชื่อว่า ทุกคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นหรือชอบดูซีรีย์ญี่ปุ่น ต้องอยากไปญี่ปุ่นซักครั้งในชีวิตแน่ๆ เราก็เป็นประเภทนั้นเหมือนกัน

เราทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ก็เห็นมีพี่ๆในแผนก ถูกส่งไปเที่ยว.. เฮ้อ..ไม่ใช่ ส่งไปอบรมที่ญี่ปุ่นหลายต่อหลายคน.. เราก็ได้แต่ตั้งตารอ ว่าเมื่อไรหนอ จะถึงตาเราซะที ...

หลังจากเราเพียรพยายาม เสนอหน้า เสนอตา ให้หัวหน้าเห็น เผื่อจะได้ไปญี่ปุ่นมั้ง ( บริษัทส่งไป ทุกอย่าง ฟรี .. แต่ถ้าไปเที่ยวเอง ... ไม่ต้องฝัน ไม่มีตังค์ ) ในที่สุดวันนั้นที่รอคอยก็มาถึง หลังจากทำงานที่นี่มา 7 ปี .. ( น้านไปมั้ยเนียะ ) ถึงจะไปแค่อาทิตย์เดียว ก็ยังดี กว่าไม่ได้ไป ขอให้ได้สัมผัสแผ่นดินญี่ปุ่นหน่อยเหอะ ....

ทีนี้พอได้ไปจริงๆ เริ่มตื่นเต้น ก็เราไม่เคยไปนอกเขตประเทศไทยเลยนะ ยังโชคดี ที่มีพี่ที่แผนกไปด้วยอีกคน ( ถึงแม้แกจะติดติ๊งต๊อง..สักหน่อยก็เหอะนะ )

เริ่มแรก เราก็ต้องเตรียมภาษาญี่ปุ่นไว้หน่อย จะได้ไม่งดตาย
จากนั้น ก็เอกสาร ต้องมีจดหมายเชิญมาจากญี่ปุ่น แล้วก็จองโรงแรม ถึงจะขอวีซ่าได้
เริ่มจาก ไปทำ passpost ใช้เวลา 2-3 วัน ก็ได้มา ต้องไปด้วยตัวเองนะ
จากนั้น ก็กรอกใบขอวีซ่า กับ รูปถ่าย อันนี้สบายหน่อย ไม่ต้องไปเอง ส่งหลักฐานให้แผนกบุคคล เค้าไปจัดการให้

ใกล้ถึงวันจะบิน ก็ไปเอาตั๋วเครื่องบิน ที่แผนกบุคคล จากนั้นก็เตรียม pack กระเป๋าไปได้ ...เออ..ลืม ส่งสำคัญ ก็เตรียมเอกสารเกี่ยวกับงานไปด้วยสิ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ได้ทำงาน
วันนี้เอาแค่นี่ก่อนแล้วกันจะ ไว้จะเข้ามาเม้าท์ตอนต่อไป... つづく

Read more!

ที่มาของ j-tanoshimi


หายไปหลายวันเลย วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่า ทำไมถึงต้องเป็น "j-tanoshimi"

j : ย่อมาจาก Japan

tanoshimi : มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า "ความสนุกสนาน, ความเพลิดเพลิน, ความสุข"楽しみ

รวมความกันแล้ว ก็หมายถึง "ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน กับเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่น" ไงจ๊ะ


Read more!